วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิกฤตหนี้กรีซยังไม่จบ! โจทย์แรก...ต่อรองมาตรการรัดเข็มขัด


ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ มองว่า ชัยชนะของ พรรค New Democracy เป็นการนับหนึ่งสู่การเริ่มต้นแห่งการแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้น เป็นการอุ้มประเทศกรีซกระโดดข้ามจากหุบเหว สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้คือการจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรค New Democracy ที่ชนะการเลือกตั้งมีเวลา 3 วันที่จะตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งหากฟอร์มรัฐบาลสำเร็จภาระกิจแรกที่ต้องเร่งดำเนินการคือเจรจาต่อรองขอผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดที่เป็นเงื่อนไขอันเข้มงวดจากแผนให้ความช่วยเหลือทางการเงิน
เมื่อสถานการณ์พัฒนามาถึงจุดนี้ เชื่อว่าทางเจ้าหนี้กลุ่มยุโรป โดยเฉพาะแกนนำหลักอย่างประเทศเยอรมัน จะตกลงยอมโอนอ่อนผ่อนปรนให้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดภาพความเสียหายที่เลวร้ายกระทบต่อทั้งภูมิภาคหรือลุกลามไปกระทบเศรษฐกิจโลกดังที่ฝ่ายวิเคราะห์ ขององค์กรเศรษฐกิจโลก หรือนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นอย่างมากจากความตื่นตระหนก การแห่ถอนเงินยูโรออกจากธนาคารในกรีซ จนเกิดภาวะแบงก์รัน หรือวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง สังคมที่ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยูโรโซน จนสั่นคลอนภาวะการเงินการลงทุนทั้งตลาดโลก หลังจากแนวทางบีบบังคับประเทศลูกหนี้ให้รัดเข็มขัดอย่างเข้มงวดกดดันให้เศรษฐกิจ และการลงทุนยิ่งหดตัว หนทางใช้คืนหนี้สินแทบไม่เกิดขึ้น
เมื่อการปฏิบัติตามหลักทางวินัยการคลัง เป็นคมดาบที่กลับมาทิ่มแทงเศรษฐกิจ เกือบหนึ่งเดือนที่ฝุ่นตลบก่อนการเลือกตั้ง ภาพกึ่งจินตนาการที่เลวร้ายทั้งราคาสินทรัพย์ทั้งโลก โดยเฉพาะในยุโรปดิ่งเหวลง หุ้น ทองคำ น้ำมัน ตัวเลขเศรษฐกิจ การส่งออก การจ้างงานและการผลิต ที่นำมาสู่การทำลายศรัทธาทางเศรษฐกิจอย่างการหั่นอันดับเครดิต ของบรรดาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ไม่เพียงเฉพาะกรีซ แต่ยังลามไปถึงสเปน อิตาลี และทุกธนาคารในยุโรปที่มีธุรกรรมเชื่อมโยงถึงกันหมด เป็นหนังตัวอย่างที่ฉายถึงผลพวงที่จะเกิดขึ้นหากกรีซต้องเดินออกจากยูโรโซน
ดังนั้น ช่วงที่ผ่านมาทั้งกรีซ รวมทั้งประเทศในยูโรโซน ต่างผ่านประสบการณ์เฉียดตายกันมาแล้ว และตระหนักว่า การออกจากยูโรโซนของกรีซเป็นผลเสียมากกว่าผลดีกับทุกๆฝ่าย สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือการถอยคนละก้าวและยอมเจรจาผ่อนปรน ยุโรปต้องลดมาตรการเข้มงวดสุดขั้วลง และกรีซ ต้องเรียนรู้ที่จะมีวินัย และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจตัวเองให้ค่อยๆดีขึ้น
"แม้วิกฤตจะยังไม่จบลง ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป คงจะต้องเลิกพูดถึงการออกจากยูโรโซน ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหากมองถึง incentive หรือแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ การเมือง ขณะนี้ไม่มีใครต้องการ ทั้งสามพรรคการเมือง รวมถึงพรรคฝ่ายซ้ายยังประกาศชัดว่าจะไม่พากรีซออกจากยูโรโซน เพราะจากผลการเลือกตั้งและผลโพลล์สะท้อนว่าประชาชนกรีซก็ไม่ต้องการหลุดจากยูโรโซนไปเผชิญกับความเสี่ยงและอนาคตที่มืดมน กับความสามารถการแข่งขัน การผลิตที่อ่อนแอ ที่สำคัญที่สุดโครงการ ยูโรโซนที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นมากกว่าเขตเศรษฐกิจ แต่เป็นเชิงการถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองในเวทีโลกกับมหาอำนาจอย่างอเมริกา การจัดตั้งภูมิรัฐศาสตร์นี้จึงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แม้ว่าจะต้องแลกกับการอัดฉีดเงินช่วยเหลือก้อนใหญ่กว่านี้ เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจ ก็จำเป็นต้องทำ "ดร.กอบศักดิ์กล่าว
แม้สุดท้ายสงครามวิกฤตยังไม่จบ แต่ยังเป็นสัญญาณที่ดีว่า การผ่อนปรน และร่วมกันเดินไปในทิศทางเดียวกันแม้จะต้องออกแรงฉุดกระชากลากถูกันไปก็เป็นแสงสว่างส่องนำการแก้ไขปัญหาที่ถูกทางมากขึ้น
"ที่ผ่านมาทั้งกรีซ รวมทั้งประเทศในยูโรโซน ต่างผ่านประสบการณ์เฉียดตายกันมาแล้ว และตระหนักว่า การออกจากยูโรโซนของกรีซเป็นผลเสียมากกว่าผลดีกับทุกๆฝ่าย สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือ ถอยคนละก้าวและยอมเจรจาผ่อนปรน ยุโรปต้องลดมาตรการเข้มงวดสุดขั้วลง และกรีซ ต้องเรียนรู้ที่จะมีวินัย ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป คงจะต้องเลิกพูดถึงการออกจากยูโรโซน หากมองถึง Incentive หรือแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ไม่มีใครต้องการ ทั้งพรรคการเมืองกรีซ และประชาชนกรีซ ที่สำคัญโครงการยูโรโซนที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นมากกว่าเขตเศรษฐกิจ แต่เป็นการถ่วงดุลอำนาจในเวทีโลก ผู้นำในกลุ่มจึงต้องพยายามทุกวิถีทางให้ยังเป็นหนึ่งเดียวได้ต่อไป"ดร.กอบศักดิ์กล่าว


ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120619/457404/วิกฤตหนี้กรีซยังไม่จบ!-โจทย์แรก...ต่อรองมาตรการรัดเข็มขัด.html

บาทเปิดตลาดที่31.47/55จับตาเลือกตั้งกรีซ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 15 มิถุนายน 2555 09:52

บาทเปิดตลาดที่ 31.47/55 บาท/ดอลลาร์ แกว่งในช่วงแคบ จับตาเลือกตั้งกรีซ คาดวันนี้แกว่งตัวในกรอบ 31.42-31.57 บาท/ดอลลาร์



นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (15 มิ.ย.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 31.47/55 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากช่วงเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 31.57/59 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ เงินบาทวันนี้คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ประกอบกับตลาดให้ความสนใจรอฟังผลการเลือกตั้งของกรีซในวันอาทิตย์นี้ 17 มิ.ย. จึงยังทำวันนี้เงินบาทน่าจะนิ่งๆ และน่าจะเห็นความชัดเจนได้ต้นสัปดาห์หน้า
คืนนี้ สหรัฐฯ จะมีการรายงานข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิต และกระทรวงการคลังรายงานข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนเม.ย. เป็นต้น
ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้คาดอยู่ที่ 31.42-31.57 บาท/ดอลลาร์


ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120615/456854/บาทเปิดตลาดที่31.47-55จับตาเลือกตั้งกรีซ.html

อุกอาจ! 3 โจรใช้ปิกอัพดึงตู้เอทีเอ็ม แบงก์กรุงเทพ ศรีราชา หลุดกระจุย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2555 14:06 น.


อุกอาจ! 3 โจรใช้ปิกอัพดึงตู้เอทีเอ็ม แบงก์กรุงเทพ ศรีราชา หลุดกระจุย




ศูนย์ข่าวศรีราชา - 3 คนร้ายฉวยโอกาสตอนเช้ามืด ใช้เชือกผูกตู้เอทีเอ็ม แบงก์กรุงเทพฯ สาขาศรีราชา โยงกับรถปิกอัพ แล้วขับรถดึงตู้เอทีเอ็มจนหลุดจากฐาน โชคดีชาวบ้านตื่นมาเห็น คนร้ายรีบทิ้งรถและตู้เอทีเอ็ม หลบหนีไป เผยภายในตู้มีเงินกว่า 5 ล้าน

วันนี้ (14 มิ.ย.) พ.ต.ท.ธีรพล กิจยะกานนท์ สารวัตรเวร สภ.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า 3 คนใช้รถยนต์ปิกอัพเป็นยานพาหนะ พยายามที่จะโจรกรรมตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณหน้าร้านปีเตอร์ไบค์ ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายรถจักรยาน ตั้งอยู่เลขที่ 555/8 ม.3 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา

หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รีบนำกำลังเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบแต่เพียงตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ ล้มคว่ำอยู่บริเวณท้ายรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน สีขาว หมายเลขทะเบียน บย 2596 จังหวัดระยอง โดยมีเชือกไนลอนคล้องอยู่กับตู้เอทีเอ็ม และผูกติดกับตัวรถยนต์กระบะคันดังกล่าว ส่วนกลุ่มคนร้ายได้หลบหนีไปแล้ว

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงประมาณเช้ามืด กลุ่มคนร้ายได้เข้ามากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มดังกล่าว จากนั้นได้เดินไปหยิบเชือกมาคล้องตู้เอทีเอ็ม และถอยหลังรถยนต์กระบะเข้ามาบริเวณใกล้กับตู้เอทีเอ็ม จากนั้นได้นำเชือกที่คล้องอยู่กับตู้เอทีเอ็ม เอามาผูกกับตัวรถยนต์ปิกอัพ พร้อมกับเร่งเครื่องรถอย่างแรงเพื่อดึงตู้เอทีเอ็มให้หลุดออกจากฐาน จนตู้เอทีเอ็มหลุดออกมาและล้มคว่ำเสียงดังสนั่น ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงได้เปิดประตูบ้านออกมาดูกันหลายบ้าน พร้อมร้องเอะอะโวยวาย

กลุ่มคนร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้ทิ้งรถหลบหนีกันไป จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ แต่คนร้ายก็หลบหนีไปหมดแล้ว ได้ยึดรถปิกอัพที่จอดทิ้งไว้เอาไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เดินทางมาเก็บหลักฐานรอยนิ้วมือแฝงของกลุ่มคนร้ายที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อเป็นแนวทางในการสืบสวนหาตัวกลุ่มคนร้ายรายนี้ต่อไป และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของธนาคารกรุงเทพ มารับกล่องบรรจุเงินภายในตู้เอทีเอ็มกว่า 5 ล้านบาท นำไปเก็บรักษาไว้ต่อไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บ่อวิน ได้สืบทราบว่า นายจำลอง ชดจอหอ อายุ 45 ปีผู้รับเหมางานเหล็กทุกชนิด เป็นเจ้าของรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสัน สีขาว หมายเลขทะเบียน บย 2596 จังหวัดระยอง ที่ใช้ก่อเหตุ จึงเชิญตัวมาทำการสอบสวน

ในเบื้องต้น นายจำลองให้การว่า ตนเองมีลูกน้องกว่า 20 คน โดยรถยนต์ได้ปล่อยให้ลูกน้องนำไปใช้ทำงานรับเหมาตามสถานที่ต่างๆ โดยตนเองไม่รู้ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำเอาไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะสืบสวนติดตามหาตัวลูกน้องตัวแสบของนายจำลองมาทำการสอบสวน เพื่อหาตัวคนลงมือก่อเหตุต่อไป คาดว่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้


ที่มา  http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000073000

ทหารยกพลร่วม ธ.กรุงเทพ บริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล “พ่อหลวง”


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2555 11:51 น.


ทหารยกพลร่วม ธ.กรุงเทพ บริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล “พ่อหลวง”




ยะลา - กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ สาขายะลา พร้อมใจบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลก

เวลา 09.00 น.วันนี้ (14 มิ.ย.) ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขายะลา พ.อ.อัครเดช มาถนอม รองเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้นำกำลังพล ของ กอ.รมน.ภาค 4 มาร่วมบริจาคโลหิต เนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลก ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นด้วยการบริจาคโลหิตของตนเอง

นายปรีชา ภัทรวนาคุปต์ ผู้จัดการธนาคาร กรุงเทพ สาขายะลา เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตนี้ ทางธนาคารฯ ได้จัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเหล่ากาชาด จ.ยะลา โรงพยาบาลยะลา ในการจัดเจ้าหน้าที่มาร่วมรับบริจาคโลหิต จากประชาชนที่เป็นลูกค้าของธนาคาร และประชาชนทั่วไป รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารจาก กอ.รมน.ภาค 4 สน.

ซึ่งปีนี้ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ทหารมาร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 50 นาย โดยคาดว่า การรับบริจาคครั้งนี้ จะได้โลหิต จำนวน 25000 ซีซี และสามารถนำไปช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บป่วยทั่วไป และประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จ.ยะลา

ที่มา  http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072920

บัวหลวงขายตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.10%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 13 มิถุนายน 2555 08:08

บลจ.บัวหลวงขายกองตราสารหนี้ 6 เดือน ลงทุนทั้งใน-ต่างประเทศ คาดผลตอบแทน 3.10%



บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 23/12 ระหว่างวันที่ IPO 13 - 19 มิถุนายน 55 กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 23/12 (B-Fixterm 23/12) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 3.10% ต่อปี ขนาดโครงการ 2,500 ล้านบาท
เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าว เหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
สำหรับตราสารหนี้ และ / หรือประเทศที่จะลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ของตลาดตราสารหนี้ขณะนั้นๆผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือ บลจ.บัวหลวง โทร 0 2674 6488 กด 8

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120613/456393/บัวหลวงขายตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.10.html

แบงก์กรุงเทพออกเงินฝาก11เดือนดอก3%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 12 มิถุนายน 2555 12:01

ธนาคารกรุงเทพมอบข้อเสนอพิเศษเงินฝากประจำ ระยะเวลาการฝาก 11 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง 3.00% ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันนี้-12 ก.ค.55



นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า ธนาคารได้สร้างสรรค์กิจกรรมเชิญชวนกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย ด้วยข้อเสนอใหม่ล่าสุดกับบัญชีเงินฝาก ระยะเวลา 11 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี เปิดบัญชีด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ 200,000 บาท และนำฝากแต่ละยอดเงินฝากไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ให้บริการในช่วงระยะเวลาระหว่างวันอังคารที่ 12 มิถุนายน – วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2555
"เงินฝากประจำ 11 เดือน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทางด้านการออม ซึ่งนอกจากเงินฝากประจำประเภทดังกล่าวแล้ว ธนาคารยังมีผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษระยะเวลา 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625% ต่อปี ที่ได้ขยายระยะเวลาการรับฝากออกไปจนถึงวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2555 ตามคำเรียกร้องของลูกค้าเงินฝาก โดยยังคงเงื่อนไขเดิมด้วยยอดเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำเพียง 200,000 บาท ซึ่งธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาการฝาก ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถเปิดบัญชีเงินฝากทั้งสองประเภทได้ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บัวหลวงโฟน โทร.1333 และ www.bangkokbank.com"

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120612/456295/แบงก์กรุงเทพออกเงินฝาก11เดือนดอก3.html

บาทเปิดตลาดที่31.65/67แกว่งในช่วงแคบ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 12 มิถุนายน 2555 09:31


บาทเปิดตลาดที่31.65/67แกว่งในช่วงแคบ


เงินบาทเปิดตลาดที่ 31.65/67 บาท/ดอลลาร์ แกว่งในช่วงแคบ จับตาสถานการณ์ยุโรป คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.62-31.70 บาท/ดอลลาร์

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 31.65/67 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากเมื่อเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 31.58/60 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ แนวโน้มเงินบาทวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากในสัปดาห์นี้ยังไม่การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะมีผลต่อค่าเงินมากนัก โดยตลาดยังรอดูสถานการณ์ในยุโรปเป็นหลัก โดยเฉพาะการเลือกตั้งในกรีซช่วงปลายสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อค่าเงินมากนัก ตลาดคงรอดูสถานการณ์ในยุโรปเป็นหลัก
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในวันนี้คาดแกว่งในช่วงแคบที่ 31.62-31.70 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120612/456238/บาทเปิดตลาดที่31.65-67แกว่งในช่วงแคบ.html

ธนาคารกรุงเทพออกเงินฝากประจำ11เดือนดอกเบี้ย3.00%

โดย กระแสหุ้น Monday, 11 June 2012 17:31

ธนาคารกรุงเทพออกเงินฝากประจำ11เดือนดอกเบี้ย3.00%

 ธนาคารกรุงเทพ มอบข้อเสนอพิเศษเงินฝากประจำ ระยะเวลาการฝาก 11 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง 3.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการฝาก เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าเงินฝาก เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน -12 กรกฎาคม 2555

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้สร้างสรรค์กิจกรรมเชิญชวนกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย ด้วยข้อเสนอใหม่ล่าสุดกับบัญชีเงินฝาก ระยะเวลา 11 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี เปิดบัญชีด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ 200,000 บาท และนำฝากแต่ละยอดเงินฝากไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ให้บริการในช่วงระยะเวลาระหว่างวันอังคารที่ 12 มิถุนายน – วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2555

‘เงินฝากประจำ 11 เดือน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทางด้านการออม ซึ่งนอกจากเงินฝากประจำประเภทดังกล่าวแล้ว ธนาคารยังมีผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษระยะเวลา 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625% ต่อปี ที่ได้ขยายระยะเวลาการรับฝากออกไปจนถึงวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2555 ตามคำเรียกร้องของลูกค้าเงินฝาก โดยยังคงเงื่อนไขเดิมด้วยยอดเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำเพียง 200,000 บาท ซึ่งธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาการฝาก ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถเปิดบัญชีเงินฝากทั้งสองประเภทได้ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บัวหลวงโฟน โทร.1333 และ www.bangkokbank.com’

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/top-headline/25177-11300-.html

10 กูรูการเงินกับ 10 ไม้เด็ด ดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต

โดย : กาญจนาห หงษ์ทอง  กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 10 มิถุนายน 2555 10:00


10 กูรูการเงินกับ 10 ไม้เด็ด ดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต

10 กูรูการเงิน แนะนำวิธีดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต ลองนำไปปรับประยุกต์ใช้ดู เผื่อจะผลักไสหนี้ออกจากชีวิตได้ซะที

"หนี้" คำนี้ยังเป็นคำแสลงใจอยู่ทุกยุคทุกสมัย
บางคนเพิ่งเริ่มต้นคบหากับหนี้ บางคนใช้ชีวิตอยู่กับหนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว บางคนอยู่กับหนี้มาเกือบทั้งชีวิต
ถึงจะประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะกำจัดหนี้ออกจากชีวิตแล้ว แต่ทำอีท่าไหนก็ไปไม่พ้นชีวิตสักที
ลองมาฟังคำแนะนำจาก 10 กูรูการเงิน ที่ Fundamentals ฉบับนี้รวบรวมวิธีการดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต แล้วลองนำไปปรับประยุกต์ใช้ดู เผื่อจะผลักไสหนี้ออกจากชีวิตได้ซะที
***
Oเริ่มจากจิตใจที่เข้มแข็ง
"ฤดี ปติอารยกุล" ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.แอสเซท พลัส แนะนำคนที่อยากดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต ว่าต้องเริ่มต้นที่จิตใจที่เข้มแข็งของคนที่เป็นหนี้ เนื่องจากการจะชำระหนี้สินให้หมดสิ้นนั้น ผู้ที่เป็นหนี้จะต้องมีวินัยทางการเงินที่เข้มงวดและชัดเจน อีกทั้งต้องใช้ความอดทนในการปรับเปลี่ยนแผนการดำรงชีวิตใหม่เพื่อปลดภาระหนี้ ซึ่งเริ่มต้นง่ายๆ
โดยการทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน และ ประจำปี รวมทั้ง บัญชียอดรวมหนี้สินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด เพื่อให้เห็นตัวเลขหนี้สินที่ชัดเจนและเห็นเป็นรูปธรรม พยายามค้นหาข้อมูลทางการเงินใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งอาจใช้เป็นวิธีการรีไฟแนนซ์ยอดหนี้เดิม เพื่อเป็นลดภาระทางด้านดอกเบี้ย โดยพยายามค้นหาแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ จากนั้นจัดลำดับการใช้หนี้ โดยเลือกชำระหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสูงเป็นอันดับต้นๆ และสุดท้าย คือ ต้องพยายามหารายได้เพิ่มจากการประกอบอาชีพเสริม รวมทั้งเรียนรู้การลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้
Oปรับใจตัวเอง “ห้าม” คิดว่า “ทำไม่ได้”
"เสกสรร โตวิวัฒน์" ผู้อำนวยการกลุ่มกลยุทธ์องค์กร บลจ.บัวหลวง มองว่าการจัดการหนี้สิน สิ่งแรก คือการปรับใจตนเอง “ห้าม” คิดว่า “ทำไม่ได้” แม้ว่าจะยังนึกไม่ออกเลยว่าจะปลดหนี้ได้ยังไง กำลังใจสำคัญที่สุด โดยเฉพาะกำลังใจจากหัวใจของตนเองและครอบครัว เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีหนี้สินพร้อมรายละเอียดทั้งหมด ทรัพย์สิน รวมถึงรายรับรายจ่ายแต่ละเดือนว่ามีอะไรบ้าง เพื่อประเมินสถานะภาพการเป็นหนี้ และกำลังการจ่ายให้ได้เสียก่อน ต่อมา ก็ต้องจัดลำดับหนี้สินที่สร้างปัญหาให้มากที่สุด เช่น เกินกำหนดชำระแล้ว เสียดอกเบี้ยอัตราสูง หนี้สินที่ทบต้นตลอดเวลา หรือมีเจ้าหนี้เงินกู้คอยทวงเช้าทวงเย็น จัดเป็นเป้าหมายลำดับแรกที่ต้องจัดการ และดำเนินการ ก่อหนี้เพื่อลดหนี้ โดยเลือกก่อหนี้ใหม่ เพื่อนำมาลดหนี้ที่สร้างปัญหาเฉพาะหน้า เช่นเปลี่ยนหนี้นอกระบบเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ เปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยจ่ายแท้จริงสูง มายังบัตรเครดิตอื่นที่อัตราจ่ายต่ำกว่า จากนั้นขอให้หาทาง เจรจาเจ้าหนี้ หนี้สินหลายอย่างโดยเฉพาะหนี้ในระบบ พอที่จะเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อยืดระยะเวลาการชำระให้นานออกไป เพื่อแก้ปัญหาเรื่องกระแสเงินสดในการจ่ายหนี้ต่อเดือน
สุดท้าย นั่นคือ เปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงิน เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ คนเป็นหนี้หลายคนไม่คาดคิดว่าทรัพย์สินในบ้านที่เห็นอยู่ทุกวัน ก็สามารถแปรสภาพเป็นเงินเพื่อมาชำระหนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้นึกเสียว่า ทรัพย์สินที่อยากเก็บไว้เป็นความสุขทางใจ แต่การลดหนี้ได้ก็ปลดทุกข์สร้างสุขในใจขึ้นมาได้เช่นกัน
"หนี้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากรู้จักก่อและรู้จักจ่ายในระดับที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยให้การบริหารเงินเกิดประโยชน์สูงสุดได้"
Oคิดกำจัดหนี้ต้องหยุดสร้างหนี้เพิ่ม
"พจณี คงคาลัย" SVP บริหารความสัมพันธ์และการขาย สายลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงเทพ บอกว่า อันดับแรกต้องหยุดก่อหนี้เพิ่มอย่างเด็ดขาด ต้องสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ก่อหนี้เพิ่ม สำรวจภาระหนี้สินทั้งหมด ว่ามีประเภทใดบ้าง ทำตารางแจกแจงรายละเอียดให้ชัดเจน หนี้ ธนาคาร นอนแบงก์ หนี้นอกระบบ ยอดหนี้ อัตราดอกเบี้ย ยอดการผ่อนชำระเรียงจากดอกเบี้ยสูงไปต่ำ เพื่อจะได้จัดการชำระก่อนหลังได้ถูกต้อง ถ้าสามารถทำได้ให้โอนหนี้นอกระบบ เข้าอยู่ในระบบเพื่อลดภาระเรื่องดอกเบี้ย
จากนั้น เจรจากับเจ้าหนี้ขอแฮร์คัต ขอลดดอกเบี้ย ลดยอดผ่อนชำระ ฯลฯ พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ และชำระหนี้อย่างมีวินัย ลดรายจ่ายที่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลิกรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทุกชนิด เพื่อให้เหลือเงินมาชำระหนี้ให้มากที่สุด และเมื่อได้เงินก้อนใหญ่ เช่นโบนัสหรือ เงินตกเบิกต่างๆ ให้รีบนำไปชำระหนี้ให้มากที่สุด
Oหยุดเป็นทาสเงิน-สร้างรากแก้วแห่งสุข
"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย เชื่อว่ารากเหง้าของหนี้สินเกิดจากความเป็น "ทาสของเงิน" ความเป็นทาสของเงิน ดูได้จาก การที่เราโหยหาเงินตลอดเวลา เมื่อได้เงินมาแล้ว ก็ร้อนรุ่มอยากออกไปใช้จ่ายเงิน เพื่อซื้อของ "ซื้อความสุข" ใช้เงินหมดแล้วก็โหยหาเงินใหม่ บางครั้งแม้ต้องกู้หนี้ยืมสินจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ ก็ยอม เป็นอาการเสพติดความสุขจากการใช้เงิน
"วิธี DETOX ที่สำคัญก็คือ การสร้างรากแก้วแห่งความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เมื่อเราได้เริ่มสร้างรากแก้วแห่งสันติสุขที่ลุ่มลึก จากการเรียนรู้และเติบโต ใช้เวลากับครอบครัวที่อบอุ่น ชื่นชมธรรมชาติที่งดงาม ดื่มด่ำกับธรรมะและใกล้ชิดพระเจ้า และที่สำคัญคือได้อิ่มใจกับการแบ่งปันด้วยความรักแล้ว เราย่อมจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตสลัดพิษจากความเป็นทาสของเงิน มาสู่ความเป็นไท และไปสู่เสรีภาพที่แท้จริงเป็นนายของเงินได้ในไม่ช้า"
Oกำหนดวันล้างหนี้ที่แน่นอนในปฏิทิน
"ดร.พิมพ์เพ็ญ ลัดพลี" ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาตลาดตราสารหนี้รัฐบาล สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มองว่าการมีหนี้สินพะรุงพะรังนานหลายปี เป็นบ่อเกิดของการ “จมปลัก” อยู่ในวงจรอุบาทว์ ยิ่งนานวันยิ่งหลุดพ้นได้ยาก สำหรับหนี้ที่เกิดจากความฟุ่มเฟือย เช่น หนี้บัตรเครดิตและหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีวงเงินไม่สูงมากแต่มีอัตราดอกเบี้ยสูง วิธีการดีท็อกซ์ คือ หยุดก่อหนี้เพิ่มและทยอยผ่อนชำระในวงเงินที่สูงขึ้น โดยต้องกำหนดวันล้างหนี้ที่แน่นอนในปฏิทินไว้เตือนความจำเสมอ เพราะหนี้ที่เกิดจากความฟุ่มเฟือยมักมาจากการไม่วางแผนการใช้จ่าย การไม่ใช้เงินสด และการไม่ทำบัญชีรายรับรายจ่าย นั่นเอง
แต่สำหรับหนี้ที่เกิดจากการลงทุนเกินกำลัง เช่น หนี้ที่เกิดจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือการลงทุนในธุรกิจเพื่อเก็งกำไร ซึ่งแม้อาจเป็นหนี้ดีแต่มักเป็นหนี้ที่มีวงเงินสูงและมีการผ่อนชำระในระยะยาว ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป เงื่อนไขของสินเชื่อประเภทนี้อาจไม่เหมาะสมกับฐานะการเงินและกระแสรายได้ในปัจจุบันก็เป็นได้ ซึ่งวิธีการดีท็อกซ์ คือ การปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการชำระคืนเงินต้นบางส่วน การขอปรับอัตราดอกเบี้ยในฐานะลูกค้าชั้นดี
Oใช้กลยุทธ์ “ลดต้น ลดดอก”
"โชติกา สวนานนท์" กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า “การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” โดยกลยุทธ์ที่จะแนะนำสำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่กับหนี้มาหลายปีแล้วอยากจะขจัดหนี้ออกไปจากชีวิต หลักการง่ายๆ คือ “ลดต้น ลดดอก” ของหนี้ที่มีให้เร็วที่สุด เพราะดอกเบี้ยจะทำให้หนี้พอกพูน ควรนำเงินที่หามาได้จากการทำงานไปลงทุนเพื่อใช้หนี้ โดยต้องกล้าเสี่ยงให้มากขึ้นกว่าเดิม กระจายพอร์ตการลงทุนไปสินทรัพย์เสี่ยงบ้าง ต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่าเมื่อได้กำไรเท่าไหร่จะ take profit และจะต้องนำเงินไปชำระหนี้ทันที กำจัดหนี้ออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด
ดังนั้นข้อควรปฏิบัติง่ายๆ คือ 1. อย่าทำงานใช้หนี้อย่างเดียว ควรให้เงินทำงานช่วยเราด้วย 2. อย่านำเงินไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้เพียงอย่างเดียวเพราะดอกเบี้ยเงินฝากหรือดอกเบี้ยตราสารหนี้มักจะต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้เสมอ
O"หยุด..ขาย...ลด..หา"
"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต แนะว่าถ้าอยากจะปลดหนี้ ให้ออกไปจากชีวิต เร็วๆ อย่างแรก "หยุด" ก่อหนี้ใหม่ก่อน ไม่มีหนี้ใหม่ ก็จะมีภาระแค่เคลียร์หนี้เก่าให้หมดไปตามกำลังที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากนั้น "ขาย ขาย และขาย" คือ ขายทรัพย์สินเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด เอาไปใช้หรือลดหนี้ ต้องคิดเสียว่า ไม่ตายก็หาใหม่ได้ หรือมีของเท่าที่จำเป็นเท่านั้นก็พอ อันนี้ไปพิจารณากันเองว่า พอของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่อยากให้คิดว่า ขายเพื่อลดภาระหนี้ เป็นหลักก่อนความพอของตัวเอง
ถัดมาคือ "ลด..ลด..ลด" คือ ลดค่าใช้จ่ายที่ใช้ประจำวันลงได้อีกไหม อันนี้ อาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมความเป็นอยู่เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ เพื่อลดรายจ่าย เอาเงินมาโปะใช้หนี้กัน เสร็จแล้วก็ "หา..หา..หา" คือ หาทางที่จะเพิ่มรายได้ของตัวเอง อันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของตัวเองง่ายสุดก็คือ ทำงานพิเศษอะไรที่เกี่ยวกับหรือใกล้เคียงกับความชำนาญของตัวเองหรืองานที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่งน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด
Oเปลี่ยนความคิด-ตั้งสมการใหม่
"นริศ อจละนันท์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต แนะวิธีดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิตว่า ต้องเปลี่ยนความคิด ตั้งสมการใหม่ “รายได้ - เงินออม = รายจ่าย” เมื่อมีรายได้ หักเงินส่วนที่จะเก็บออมไว้เลย ที่เหลือค่อยใช้จ่าย วิธีนี้จะทำให้เรามีเงินเก็บออมได้ในระยะยาว รวมถึงไม่เกิดหนี้สินที่ไม่จำเป็น ในเวลาเดียวกันต้องกำหนดแผนค่าใช้จ่าย โดยจะต้องใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผล ตามความจำเป็น แยกแยะให้ได้ระหว่าง “อยากได้ หรือ จำเป็น” ซึ่งจะทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้
ขณะเดียวกัน จ่ายบัตรเครดิตเต็มจำนวน เคร่งครัดต่อหนี้สิน และต้องไม่ลืมทำสมุดรายรับรายจ่าย จดค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ละเอียด เพื่อให้รู้สถานการณ์ทางด้านการเงินของเรา ขณะเดียวกันต้อง ทบทวนค่าใช้จ่ายสม่ำเสมอ เพื่อให้รู้ว่าเราได้จ่ายอะไรไปบ้าง สุดท้ายทำประกันคุ้มครองหนี้สิน เพราะเราคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ คนที่เรารักจะสามารถอยู่ได้เป็นปกติ โดยไม่มีภาระหนี้สิน
Oวางแผนใช้จ่ายเงินอย่างมีวินัย
"พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์" รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บริษัท บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เห็นว่าคนที่มีหนี้ต้องกลับมาเริ่มวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างมีวินัยและเป็นสเต็ป เริ่มจากการวิเคราะห์รายได้ในแต่ละเดือน ว่ามาจากส่วนใดบ้าง เพื่อให้ทราบถึงรายได้ที่ชัดเจน ขณะเดียวกันต้องสำรวจค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อแยกออกเป็น Need กับ Want และคำนึงถึงส่วนที่จำเป็นก่อน พอเราพูดถึง ความจำเป็น กับ ความต้องการ เราต้องกลับมาพิจารณาอีกว่าในส่วนที่เป็น ความจำเป็น สำหรับเรานั้นในเรื่องใดสำคัญกว่ากัน ส่วนไหนจำเป็นที่สุด ส่วนไหนรอได้
"คนมีหนี้ต้องพยายามจัดความคิดให้มีมองมุมเชิงบวก เพราะจะได้มีกำลังใจที่ดีและแข็งแรง พร้อมสำหรับการแก้ไขปัญหา"
Oขจัดพิษจากหนี้ด้วยวิธี “คิดบวก”
"อำพล โพธิ์โลหะกุล" ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย แนะว่า จะขจัดพิษหนี้ต้องเริ่มจาก “คิดบวก” เป็นพื้นฐาน หมายถึงคิดให้ถูกทางว่า หนี้จะหมดไปได้ก็ด้วยการจัดสรรรายรับมาชำระหนี้อย่างมีวินัย โดยไม่พยายามหาทางปิดหนี้ก้อนหนึ่งแต่กลับไปก่อหนี้เพิ่ม ทั้งหนี้นอกระบบและการใช้บัตรเครดิตใบหนึ่งมาจ่ายหนี้ของอีกใบ ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้เราตกอยู่ในวังวนหนี้สินแบบไม่สิ้นสุด เว้นเสียแต่ว่าการก่อหนี้ใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมนั้นจะมีภาระดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าหนี้เก่า ในกรณีที่การผ่อนชำระเริ่มเป็นปัญหาหนักขึ้นอาจต้องพิจารณาโยกย้ายหนี้มาสู่แหล่งเงินกู้ที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยลง ลองเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อหาวิธีการผ่อนชำระที่สามารถจะทำได้ รวมถึงหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง ซึ่งอาจหมายถึงการหารายได้พิเศษเพิ่มหรือลดรายจ่ายในแต่ละเดือนลง
คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ “ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง มีความสุข และไม่ต้องเป็นหนี้” ซึ่งถือว่าเป็นอีก “วิธีคิดบวก” ที่จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานภาวะหนี้และเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน โดยต้องมีวินัยในการบริหารรายจ่ายให้ไม่เกินไปกว่ารายรับ รู้จักแบ่งสรรรายรับเป็นส่วนๆ และต้องไม่ลืมจัดสรรเงินไว้ออมก่อนใช้จ่ายเสมอ

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/personal/20120610/455668/10-กูรูการเงินกับ-10-ไม้เด็ด--ดีท็อกซ์หนี้ออกจากชีวิต.html

ศาลสั่งคุก"ราเกซ" 10 ปี ปรับ 1 ล.คดียักยอก BBC


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2555 13:07 น.


ศาลสั่งคุก"ราเกซ" 10 ปี ปรับ 1 ล.คดียักยอก BBC

ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายราเกซ สักเสนาอดีตที่ปรึกษาของ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพมหานครพานิชการ จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารบีบีซี เป็นจำเลย ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 83 จากกรณี เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2538 นายราเกซ พร้อมด้วยนายเกริกเกียรติและพวก ร่วมกันยื่นขอสินเชื่อกู้ยืมเงินในนาม บริษัทซิตี้ เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 2,000 ล้านบาท จาก ธนาคารบีบีซี โดยใช้ใบหุ้นและที่ดินเป็นหลักประกัน ซึ่งอ้างว่าที่ดินมีราคาสูงถึง 1,350,100,000 บาท แต่จากการประเมินที่แท้จริงแล้ว ราคาที่ดินดังกล่าวมีเพียง 26,900,000 บาท ดังนั้นการกระทำของพวกจำเลยเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของ ธนาคารบีบีซี ไปทั้งสิ้น 1,657,000,000 บาท โดยอัยการขอให้ศาลสั่งให้จำเลยร่วมกันคืนเงิน จำนวน 1,657,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริง ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวที่มีความผิดหลายบท และก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินของประเทศ พิพากษาโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้เปลี่ยนโทษเป็นโทษกักขัง 2 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายเป็นจำนวนเงิน 1,132,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังคำพิพากษา นายราเกซ เปิดเผยว่า จะยื่นต่อศาล เพื่อขออุทธรณ์

ที่มา  http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000070389

ศาลนัดชี้ชะตา"ราเกซ"ยักยอก BBC สำนวนแรก 1,657 ล้าน พรุ่งนี้


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มิถุนายน 2555 19:36 น.


ศาลนัดชี้ชะตา"ราเกซ"ยักยอก BBC สำนวนแรก 1,657 ล้าน พรุ่งนี้


ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษา พรุ่งนี้(8 มิ.ย.) เวลา 09.00น. ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษาของ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ BBC เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ - 20 กรกฎาคม 2538
นายราเกซ ร่วมกับ นายเกริกเกียรติ กับพวก ซึ่งถูกฟ้องเป็นคดีอาญา โดยศาลมีคำพิพากษาแล้ว และกับพวกที่ยังหลบหนี ร่วมกันยื่นขอสินเชื่อกู้ยืมเงินในนาม บริษัท ซิตี้ เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 2,000,000,000 บาท จากผู้เสียหาย โดยอ้างการกู้และการนำหลักทรัพย์ใบหุ้น และที่ดินมาเป็นหลักประกัน โดยจำเลยเป็นผู้ดำเนินการทางเอกสารเสนอต่อ นายเกริกเกียรติ ซึ่งความจริงแล้ว จำเลยกับพวก และ นายเกริกเกียรติ ไม่มีเจตนาที่จะเอาใบหุ้นมามอบให้ และใช้เป็นหลักประกันและที่ดินมีราคาประเมินที่แท้จริง เพียง 26,900,000 บาท มิใช่ 1,350,100,000 บาท ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์สินของ BBC ผู้เสียหาย ไปเป็นของจำเลยกับพวก และ นายเกริกเกียรติ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,657,000,000 บาท โดยอัยการขอให้ศาลสั่งให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าว แก่ผู้เสียหายด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญที่ นายราเกซได้ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศแคนนาดา กลับมาดำเนินคดี หลังจากที่หลบหนีไปยังต่างประเทศ กว่า 20 ปี


ที่มา  http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000070154

เงินบาทปิดที่ระดับ31.49/51บาท/ดอลลาร์

กระแสหุ้น  Thursday, 07 June 2012 17:57

เงินบาทปิดที่ระดับ31.49/51บาท/ดอลลาร์


(07 มิ.ย. 2555)--นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.49/51 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 31.44/46 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทวันนี้กลับไปอ่อนค่าจากที่ต้นสัปดาห์เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากนำค่าเงินในภูมิภาค โดยเหตุที่บาทอ่อนค่าลงเป็นเพราะมีแรงซื้อดอลลาร์จากผู้ส่งออก ประกอบกับวันนี้มีเงินทุนไหลออกพอสมควร

"บาทอ่อนค่า เพราะมีผู้ส่งออกเข้ามาซื้อ(ดอลลาร์) กับมีเงินทุนไหลออกพอสมควร แม้เงินยูโรจะแข็งค่าแต่บาทอ่อนค่าลง จริงๆ แล้วบาทแข็งค่าขึ้นมากเมื่อวันจันทร์จากราคาทองที่พุ่งสูง และผู้นำเข้า-ส่งออกทองขายดอลลาร์ค่อนข้างเยอะ จึงกดบาทให้แข็งนำภูมิภาคมาแล้ว วันนี้จึงมีแรงซื้อ(ดอลลาร์)กลับพอสมควร" นักบริหารเงิน ระบุ

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 79.47/51 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2588/2589 ดอลลาร์/ยูโร

คืนนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ว่าจะมีการส่งสัญญาณในการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในเชิงปริมาณ(QE 3)เพิ่มเติมหรือไม่ ขณะที่คืนนี้เช่นกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะมีการรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า มองกรอบไว้ที่ 31.40-31.55 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/top-headline/25115-314951.html

กรุงศรีขายกองตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.1%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 5 มิถุนายน 2555 18:19


กรุงศรีขายกองตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.1%

บลจ.บัวหลวงขายกองตราสารหนี้ 6 เดือน คาดผลตอบแทน 3.1%

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด เปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 22/12 ระหว่างวันที่ IPO 6 - 12 มิถุนายน 55
กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 22/12 (B-Fixterm 22/12) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 3.10% ต่อปี ขนาดโครงการ 2,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าว เหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
สำหรับตราสารหนี้ และ / หรือประเทศที่จะลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ของตลาดตราสารหนี้ขณะนั้นๆ
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือ บลจ.บัวหลวง โทร 0 2674 6488 กด 8

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120607/455667/บาทปิดตลาดที่31.49-51อ่อนค่าเล็กน้อย.html

สิงห์ปาร์คเสนอส่วนลด 30 เปอร์เซ็นต์


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มิถุนายน 2555 15:40 น.


สิงห์ปาร์คเสนอส่วนลด 30 เปอร์เซ็นต์




สนามกอล์ฟสิงห์ปาร์ค ขอนแก่น เสนอส่วนลด 10-30% สำหรับนักกอล์ฟที่มีบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย ออกรอบวันพุธ ราคา 750 บาท ส่วนวันอาทิตย์ ราคา 1,400 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.(043) 209-000

ที่มา  http://www.manager.co.th/Golf/ViewNews.aspx?NewsID=9550000068872

ธนาคารกรุงเทพเปิดตัวโฆษณา‘ทุกความสุขยิ่งใหญ่เสมอ’

โดย  กระแสหุ้น Friday, 01 June 2012 14:17

ธนาคารกรุงเทพเปิดตัวโฆษณา‘ทุกความสุขยิ่งใหญ่เสมอ’

 ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ ‘ทุกความสุขยิ่งใหญ่เสมอ’ นำเสนอเรื่องราวความใส่ใจของธนาคารที่มีต่อลูกค้า ด้วยแนวคิดหลักที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลเอาใจใส่ทุกกลุ่มลูกค้าของธนาคารอย่างต่อเนื่อง

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ ‘ทุกความสุขยิ่งใหญ่เสมอ’ ให้ปรากฏสู่สาธารณชนทั่วประเทศ โดยสะท้อนภาพความสุขที่น่าประทับใจในหลากหลายรูปแบบของคนในต่างวิถีชีวิต เพื่อสื่อเป็นนัยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างธนาคารและลูกค้ากลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ความมุ่งมั่นในการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าของธนาคารอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นธนาคารชั้นนำของไทยที่อยู่เคียงข้างลูกค้า และมีส่วนช่วยสรรค์สร้างสังคมไทยให้เข้มแข็งมาตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ทศวรรษ

ธนาคารให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และแน่นแฟ้นกับลูกค้า โดยนำเอาเจตนารมย์ของการเป็น ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’ ที่คอยดูแลและสนับสนุนลูกค้าในทุกๆ ช่วงชีวิตมาตีความและนำเสนอเป็นภาพยนตร์โฆษณาในแง่มุมใหม่ สื่อความในประเด็น ‘ทุกความสุขยิ่งใหญ่เสมอ’ ซึ่งหมายถึงการที่ธนาคารเข้าใจ และรับฟัง ทั้งยังชื่นชม และมองเห็นถึงความสุขต่างๆ ในชีวิตของทุกท่าน แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม โดยธนาคารเองก็มีส่วนร่วมในความสุขนี้ด้วย สำหรับภาพยนตร์โฆษณาภายใต้แคมเปญชุดใหม่นี้มีทั้งหมด 4 เรื่อง ที่ล้วนนำเสนอเรื่องราวความสุขเล็กๆ ในชีวิตประจำวันของคนไทย ทั้งพ่อไปรับลูกชายกลับจากโรงเรียนอนุบาล เรื่อง ‘เดินกลับบ้าน’ คู่รักกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในร้านอาหาร เรื่อง ‘ไข่ดาว’ สองสาวนักช้อปที่ชอบของชิ้นเดียวกัน เรื่อง ‘เก็บเสื้อ’ และคนรุ่นใหม่ในออฟฟิศที่พยายามบอกความในใจกับเพื่อนร่วมงาน เรื่อง ‘เหลาดินสอ’ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าทุกเรื่องล้วนนำเสนอเหตุการณ์เล็กๆ ที่สามารถเข้าถึงและโดนใจผู้ชมทุกกลุ่ม

นายชาติศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงและความต้องการบริการทางการเงินของลูกค้าที่มีความซับซ้อนและมากขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ แล้ว ลูกค้ายังคาดหวังให้ธนาคารเข้าใจถึงความต้องการที่มีมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มที่ความต้องการดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตด้วย ดังนั้นบทบาทความเป็นธนาคารจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงการดูแลเรื่องการเงินและฐานะทางเศรษฐกิจของลูกค้า หากยังรวมถึงความสัมพันธ์ของธนาคารกับลูกค้า และคนทั่วไป ซึ่งสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสื่อให้ผู้ชมรับรู้ว่า ธนาคารกรุงเทพ เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และอยู่เคียงข้างในทุกช่วงชีวิตจนสามารถมองเห็นถึงความสุขเล็กๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ได้

ด้านนายสุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท บีบีดีโอ กรุงเทพ จำกัด ผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าวของธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า จุดเด่นที่จะทำให้ผู้ชมสามารถจดจำภาพโฆษณาชุดนี้ได้คือรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างจากโฆษณาธนาคารทั่วๆ ไป

“แคมเปญโฆษณาชุดนี้จึงได้ใช้กลยุทธ์ในการเล่าเรื่องราวเพียงบางส่วนของสถานการณ์ทั้งหมด โดยหยิบยกเหตุการณ์จากชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไป อีกทั้งเป็นการรับรู้กันดีอยู่แล้วว่าธนาคารกรุงเทพอยู่คู่ประชาชนมาโดยตลอด โฆษณาชุดนี้จึงต้องการเน้นย้ำว่า ธนาคารอยู่เคียงข้างสังคมและวิถีชีวิตของคนไทยทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน”

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/hot-news/24980-2012-06-01-07-20-29.html

เงินบาทปิดที่ระดับ31.72/74บาท/ดอลลาร์

โดย  กระแสหุ้น Tuesday, 29 May 2012 18:00

เงินบาทปิดที่ระดับ31.72/74บาท/ดอลลาร์


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.72/74 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงต่อจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.65/67 บาท/ดอลลาร์

วันนี้บาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักมาจากที่ล่าสุด รัฐบาลกรีซอัดฉีดเม็ดเงินประมาณ 2 หมื่นล้านยูโร เพื่ออุ้ม 4 ธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศ จึงทำให้เงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าลงในช่วงท้ายตลาด

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 79.35 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2515 ดอลลาร์/ยูโร

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทยังมีทิศทางที่อ่อนค่าแต่คงไม่อ่อนค่าไปมากกว่าวันนี้ โดยมองกรอบไว้ที่ 31.65-31.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วน THAI BAHT SPOT RATE FIXING ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 29 พ.ค.55 อยู่ที่ 31.6840 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/top-headline/24887-317274.html

บ้านราชประสงค์ผนึกแบงก์กรุงเทพอัดแคมเปญเร่งยอดขาย “ดิ เอนเนอร์จี้”


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤษภาคม 2555 16:15 น.


บ้านราชประสงค์ผนึกแบงก์กรุงเทพอัดแคมเปญเร่งยอดขาย “ดิ เอนเนอร์จี้”



บ้านราชประสงค์จับมือธนาคารกรุงเทพอัดแคมเปญ “รูดปุ๊บลุ้นปั๊บรับ ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน” มอบความคุ้มค่าผ่านบัตรเครดิต รับสิทธิชิงห้องชุดดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน 3 ยูนิต มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท

นายมณเฑียร อินทร์น้อย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านราชประสงค์ จำกัด กล่าวว่า “ได้ร่วมกับธนาคารกรุงเทพจัดแคมเปญ “รูดปุ๊บลุ้นปั๊บรับ ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน” มอบสิทธิพิเศษสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพจองตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 55 นี้ จะได้รับสิทธิชิงโชคคอนโดมิเนียม ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน โครงการคอนโดฯ หรูติดทะเล แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ที่ปลดภาระค่าส่วนกลาง ซึ่งมักเป็นปัญหาสำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด โดยเก็บเพียงปีแรก 50 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เก็บเพียงปีเดียว พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ มูลค่ารวมกว่า 6 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพที่ใช้จ่ายผ่านบัตรครบทุก 3,000 บาท จะได้รับสิทธิในการชิงโชค 1 สิทธิ และผู้ถือบัตรรายใหม่ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรครบทุก 1,000 บาทจะได้รับสิทธิในการชิงโชค 1 สิทธิ มีกำหนดจับรางวัลผู้โชคดี 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 15 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2555 จับรางวัลไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2555 ครั้งที่ 2 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2555 จับรางวัลวันที่ 18 มิถุนายน 2555 ครั้งที่ 3 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 1 มิถุนายนถึง 31 กรกฎาคม 2555 จับรางวัลวันที่ 17 สิงหาคม 2555

สำหรับโครงการดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน เป็นคอนโดฯ หรูติดทะเล ออกแบบผสมผสานเอกลักษณ์แห่งวันวานของหัวหินผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมแนวโคโลเนียลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคที่เริ่มมีการสร้างบ้านพักตากอากาศในเมืองแห่งนี้ เช่นที่ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน มีเนื้อที่กว่า 136 ไร่ ประกอบด้วยอาคารชุดสูง 8 ชั้น จำนวน 33 อาคาร และอาคารชุดสูง 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมทั้งสิ้น 6,000 ยูนิต โดยมีพื้นที่เปิดโล่งที่ไม่มีอาคารปกคลุมมากถึง 70% ของพื้นที่ทั้งหมด โครงการดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน ติดถนนเพชรเกษม ชะอำ-หัวหิน กม.211


ที่มา  http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000065943

บ้านราชประสงค์จับมือแบงก์กรุงเทพจัดแคมเปญบูมคอนโดหัวหิน

โดย  กระแสหุ้น Tuesday, 29 May 2012 12:21


บ้านราชประสงค์จับมือแบงก์กรุงเทพจัดแคมเปญบูมคอนโดหัวหิน



บ.บ้านราชประสงค์ ร่วมมือพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ธนาคารกรุงเทพ สร้างสรรค์แคมเปญ “รูดปุ๊บลุ้นปั๊บรับ ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน” มอบความคุ้มค่าผ่านบัตรเครดิต รับสิทธิชิง ห้องชุด ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน โครงการคอนโดมิเนียมหรู ติดทะเล รวม 3 ห้องชุด มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท



นายมณเฑียร อินทร์น้อย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านราชประสงค์ จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัท บ้านราชประสงค์ได้ร่วมกับธนาคารกรุงเทพมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพระหว่างวันที่ 15 มกราคมถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 สามารถรับสิทธิชิงโชคคอนโดมิเนียม ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน โครงการคอนโดหรูติดทะเล แนวคิดใหม่ของการพักอาศัยแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ที่ปลดภาระค่าส่วนกลาง ซึ่งมักเป็นปัญหาสำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด โดยเก็บเพียงปีแรก 50 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เก็บเพียงปีเดียว พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ มูลค่ารวมกว่า 6 ล้านบาท”


สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพที่ใช้จ่ายผ่านบัตรครบทุก 3,000 บาทจะได้รับสิทธิในการชิงโชค 1 สิทธิและผู้ถือบัตรรายใหม่ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรครบทุก 1,000 บาทจะได้รับสิทธิในการชิงโชค 1 สิทธิ มีกำหนดจับรางวัลผู้โชคดี 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 15 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2555 จับรางวัลไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2555 ครั้งที่ 2 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2555 จับรางวัลวันที่ 18 มิถุนายน 2555 ครั้งที่ 3 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรระหว่าง 1 มิถุนายนถึง 31 กรกฎาคม 2555 จับรางวัลวันที่ 17 สิงหาคม 2555”


“ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน” เป็นคอนโดหรูติดทะเลแนวคิดใหม่ของการพักอาศัยแห่งแรกของวงการอสังหาฯ คุ้มค่าสำหรับการลงทุน ด้วยการจัดเก็บค่าส่วนกลาง ปีแรก ปีเดียว ที่ 50 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ครั้งเดียวและไม่ต้องชำระรายเดือนอีกเลยตลอดชีพ ทำให้ปลดภาระค่าส่วนกลางที่มักเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ซื้อที่พักในต่างจังหวัด นอกจากนั้นยังได้รับสิทธิเป็นสมาชิกสปอร์ตคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ฟรีตลอดชีพ และได้รับ The Energy Point ที่บริษัทฯ มอบให้ทุกปีเพื่อใช้แลกรับบริการต่างๆ และที่พักในโรงแรม ดิ เอนเนอร์จี้ ระดับ 5 ดาว ได้ฟรี ตลอดทุกๆ ปีโดยไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โครงการออกแบบโดยผสมผสานเอกลักษณ์แห่งวันวานของหัวหินผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมแนวโคโลเนียล ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคที่เริ่มมีการสร้างบ้านพักตากอากาศในเมืองแห่งนี้ เช่นที่ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน มีเนื้อที่กว่า 136 ไร่ ประกอบด้วยอาคารชุดสูง 8 ชั้น จำนวน 33 อาคาร และอาคารชุดสูง 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมทั้งสิ้น 6,000 ยูนิต โดยมีพื้นที่เปิดโล่งที่ไม่มีอาคารปกคลุมมากถึง 70% ของพื้นที่ทั้งหมด โครงการ ดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน ติดถนนเพชรเกษม ชะอำ-หัวหิน กม.211 โทร. 02 2535 999  และ 032-473 – 111 




ที่มา  http://www.stockwave.in.th/hot-news/24868-2012-05-29-05-23-08.html



แบงก์กรุงเทพคาดอีก 6 เดือนปัญหายุโรปลามหุ้นไทยผันผวน


แบงก์กรุงเทพคาดอีก 6 เดือนปัญหายุโรปลามหุ้นไทยผันผวน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2555 15:21 น.

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ หุ้นไทยครึ่งปีหลังไปต่อหรือเอาไม่อยู่ ว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่ายังมีความผันผวนจากวิกฤตหนี้ และปัญหาสหภาพยุโรป เนื่องจากปัญหาดังกล่าวคงไม่สิ้นสุดลง แม้ว่าหุ้นในสหภาพยุโรปจะปรับตัวดีขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ไขปัญหา แต่เชื่อว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า ปัญหาอาจลุกลามเท่ากับวิกฤตซับไพร์มที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมองในระยะยาว 5-10 ปี เชื่อว่าภูมิภาคเอเชีย ยังคงเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และปัญหาในสหภาพยุโรปยังคงไม่สิ้นสุดลง่ายๆ

ที่มา  http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000064734

เงินบาทปิดที่ระดับ31.60/64บาท/ดอลลาร์

โดย กระแสหุ้น  Thursday, 24 May 2012 17:55

เงินบาทปิดที่ระดับ31.60/64บาท/ดอลลาร์


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.60/64 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.53/55 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงต่อตามแรงซื้อดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เห็นความชัดเจนของการแก้ปัญหาในกลุ่มยูโรโซน โดยเฉพาะกรณีแนวคิดการออกยูโรบอนด์ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนได้จริงหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มเงินยูโรก็น่าจะยังอ่อนค่าต่อเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 79.41 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2570 ดอลลาร์/ยูโร
ส่วน พรุ่งนี้ คาดว่า เงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อ โดยมองกรอบไว้ที่ 31.55-31.70 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/top-headline/24781-316064.html

บาทปิดตลาด31.60/64อ่อนค่าตามยูโร

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 24 พฤษภาคม 2555 17:54


บาทปิดตลาด31.60/64อ่อนค่าตามยูโร


ค่าบาทปิดตลาดที่ 31.60/64 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าตามยูโร คาดพรุ่งนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.55-31.70 บาท/ดอลลาร์



นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (24 พ.ค.) ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 31.60/64 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.53/55 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ ค่าวันนี้เงินบาทอ่อนค่าตามแรงซื้อดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เห็นความชัดเจนของการแก้ปัญหาในกลุ่มยูโรโซน โดยเฉพาะกรณีแนวคิดการออกยูโรบอนด์ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนได้จริงหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มเงินยูโรก็น่าจะยังอ่อนค่าต่อเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.) คาดอ่อนค่าตามยูโร กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31.55-31.70 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120524/453390/บาทปิดตลาด31.60-64อ่อนค่าตามยูโร.html

กทพ.ผนึกแบงก์กรุงเทพเติมเงินEasy Passผ่านตู้เอทีเอ็ม-เน็ต

โดย กระแสหุ้น Wednesday, 23 May 2012 16:50

กทพ.ผนึกแบงก์กรุงเทพเติมเงินEasy Passผ่านตู้เอทีเอ็ม-เน็ต


นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการเติมเงินบัตร Easy Pass สำหรับการใช้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บัตร Easy Pass ซึ่งจะสามารถเติมเงินผ่านตู้บัวหลวงเอทีเอ็ม และบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง

นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผยรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้สนใจสมัครใช้บัตรอัตโนมัติ Easy Pass ของระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติของ กทพ. แล้วกว่า 400,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าได้รับความสะดวก ไม่ต้องเตรียมเงินค่าผ่านทาง ไม่ต้องจอดรถ เพียงแค่ชะลอรถก็สามารถผ่านขึ้นใช้ทางพิเศษได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ใช้ทางพิเศษใช้บัตร Easy Pass เพิ่มมากขึ้น กทพ. จึงร่วมกับธนาคารกรุงเทพ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้บริการเติมเงินบัตรอัตโนมัติ Easy Pass ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารกรุงเทพ ในรูปแบบทั้งเติมเงินผ่านตู้บัวหลวงเอทีเอ็ม และบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้บัตร Easy Pass ได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบการให้บริการตามโครงการเติมเงิน Easy Pass สำหรับการใช้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติผ่านตู้บัวหลวงเอทีเอ็ม และบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง ตลอด 24 ชั่วโมง นับเป็นการเพิ่มช่องทางให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการ และอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ใช้บริการทางพิเศษ ซึ่งพร้อมให้บริการตั้งแต่วันนี้ ด้วยขั้นตอนที่ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย พร้อมกันนี้ธนาคารขอมอบข้อเสนอพิเศษในการยกเว้นค่าธรรมเนียมบริการ สำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร Easy Pass ที่ทำรายการผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารกรุงเทพ ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมสำหรับขั้นตอนในการใช้บริการทั้ง 2 ช่องทาง ลูกค้าสามารถดำเนินการได้ตามคำแนะนำที่ปรากฏในแต่ละช่องทาง และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บัวหลวงโฟน โทร 1333 www.bangkokbank.com

“ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ อีกทั้งลดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ต้องรอคิวยาว ทั้งนี้ หากมีผู้ใช้บริการระบบ Easy Pass มากกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนผู้ใช้ทางพิเศษ จะส่งผลดีต่อประเทศชาติในภาพรวม อีกทั้งยังตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมากขึ้น” ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวในที่สุด

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/hot-news/24739-easy-pass-.html

บลจ.บัวหลวงขายกองทุนตราสารหนี้ทั้งใน-ต่างประเทศ ลงทุน 6 เดือน คาดผลตอบแทน 3.10%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 23 พฤษภาคม 2555 07:59

บลจ.บัวหลวงขายกองทุนตราสารหนี้ทั้งใน-ต่างประเทศ ลงทุน 6 เดือน คาดผลตอบแทน 3.10%



บลจ.บัวหลวง เสนอขาย กองทุนใหม่ บัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 20/12 เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ IPO 23 – 29 พฤษภาคม 55
กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 20/12 (B-Fixterm 20/12) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 3.10% ต่อปี ขนาดโครงการ 2,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าว เหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
สำหรับตราสารหนี้ และ / หรือประเทศที่จะลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ของตลาดตราสารหนี้ขณะนั้นๆ
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือ บลจ.บัวหลวง โทร 0 2674 6488 กด 8

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120523/453010/บัวหลวงขายตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.10.html

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2555 17:58 น.


นครศรีธรรมราช - เครือข่ายมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน ฮือล้อมธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดหัวอิฐ จ.นครศรีธรรมราช เรียกร้องให้ขายคืนทรัพย์สินของสมาชิกที่ถูกบังคับคดีขายทอดตลาด

ที่บริเวณหน้าที่ทำการธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดหัวอิฐ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (22 พ.ค.) กลุ่มประชาชนประมาณ 50 คน นำโดย นางพัชรารัตน์ พูลชัย เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแห่งชาติ ได้เข้ายื่นหนังสือผ่านไปยัง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และทำการตั้งเต็นท์ปักหลักประท้วงหน้าธนาคาร ทำให้ถนนด้านหน้าเต็มไปด้วยเต็นท์การจราจรติดขัด เป็นอุปสรรคในการมาติดต่อธุรกรรมทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจในย่านนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก

โดยการยื่นหนังสือดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย นายนิยม ด้วงปรางค์ และนางพัชรารัตน์ พูลชัย ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแห่งชาติ เนื้อหาได้ระบุถึงสมาชิกเครือข่ายจำนวน 2 ราย คือนายนิยม ด้วงปรางค์ และนางสำลี ด้วงปรางค์ 2 สามีภรรยา อยู่ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ได้นำหลักฐานโฉนดที่ดินหมายเลข 40026 จำนวน 2 ไร่เศษ และอีกแปลงอยู่เยื้องกันจำนวน 18 ไร่เศษ เป็นการบังคับจำนองอยู่ที่ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ไปจดจำนองกับธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และปรากฏว่า ท้ายที่สุดแล้วได้มีการฟ้องร้องบังคับคดี เนื่องจากผู้จำนองผิดสัญญาจนนำไปสู่การขายทอดตลาดทรัพย์สินทั้ง 2 แปลง

หนังสือร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ยังอ้างด้วยว่า หลังจากการบังคับคดี มีการขายทอดตลาด โดยที่ดินแปลงแรกได้มีภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวไทร เป็นผู้ซื้อ อีกแปลงเป็นตำรวจ ที่มีฐานะดีมาซื้อไป โดยหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ได้กล่าวหาว่า การขายทอดตลาดดังกล่าวขัดต่อหลักจริยธรรม ใช้บทบาทหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเอง และยังเรียกร้องไปธนาคารกรุงเทพสั่งการให้ ผู้จัดการธนาคาร และครอบครัวผู้ฉ้อฉล ให้ขายที่ดินที่มีการกลับคืนมาให้แก่นายนิยม และนางสำลี ในราคาที่ซื้อมาจากสำนักงานบังคับคดี รวมค่าใช้จ่าย

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารต่างงุนงงกับการมายื่นหนังสือ และปักหลักประท้วงหน้าธนาคาร เนื่องจากธนาคารสาขาตลาดหัวอิฐไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการจำนอง และยื่นฟ้อง หลังจากที่ผู้จำนองผิดนัดชำระหนี้จนนำไปสู่การฟ้องร้องบังคับคดี และยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญญาที่นายนิยม และนางสำลี ด้วงปรางค์ 2 สามีภรรยาได้มาจดจำนองไว้ ส่วนขั้นตอนนั้น ได้ผ่านกระบวนการศาล มาจนถึงการบังคับคดี และขายทอดตลาดจนมีผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งธนาคารได้ใช้เงินรายได้จากการขายทอดตลาดมาทดแทนมูลหนี้ที่ทั้งสองสามีภรรยาได้จดจำนองกู้เงินจากธนาคารไป และธนาคารเองไม่สามารถไปบังคับนิติกรรมของผู้ประมูลซื้อทรัพย์จากสำนักงานบังคับคดีได้ เนื่องจากทุกขั้นตอนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง


ที่มา  http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000062971
Monday, 21 May 2012 19:04

 เงินบาทปิดที่ระดับ 31.32/36 บาท/ดอลลาร์


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.32/36 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.30/32 บาท/ดอลลาร์
วันนี้ในช่วงเช้าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น แต่ในช่วงบ่ายเงินบาทได้กลับมาอ่อนค่าลงตามทิศทางยูโรที่ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ประกอบกับราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงเช่นกันซึ่งมีผลจากแรงกดดันปัญหาในกรีซ
ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 79.20 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2753 ดอลลาร์/ยูโร
ขณะที่ วันพรุ่งนี้ คาดว่า เงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อเช่นเดียวกันสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยมองกรอบไว้ที่ 31.30-31.45 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.stockwave.in.th/top-headline/24663--313236-.html

บลจ.บัวหลวงขายกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือน คาดผลตอบแทน 3.25%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 08:47

บลจ.บัวหลวงขายกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือน คาดผลตอบแทน 3.25%



บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบัวหลวง จำกัด เปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 19/12 ระหว่างวันที่ IPO 16 – 22 พฤษภาคม 55
กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 19/12 (B-Fixterm 19/12) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 3.25% ต่อปี ขนาดโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าว เหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
สำหรับตราสารหนี้ และ / หรือประเทศที่จะลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ของตลาดตราสารหนี้ขณะนั้นๆ
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือ บลจ.บัวหลวง โทร 0 2674 6488  กด 8

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120516/451949/บัวหลวงขายตราสารหนี้6เดือนยิลด์3.25.html

หลักทรัพย์บัวหลวงผนึกกำลังธนาคารกรุงเทพระดมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างครบเครื่อง ในงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2012 Unlimited Future


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤษภาคม 2555 16:45 น.


หลักทรัพย์บัวหลวงผนึกกำลังธนาคารกรุงเทพระดมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างครบเครื่อง ในงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2012 Unlimited Future : อนาคตไร้ขีดจำกัด” เตรียม BLS online Services พร้อมแคมเปญพิเศษให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การลงทุนรูปแบบใหม่ ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม 55 ที่บูทธนาคารกรุงเทพ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพค เมืองทองธานี

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง เผยว่า หลักทรัพย์บัวหลวงได้ร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo เป็นประจำทุกปี และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการลงทุน หลักทรัพย์บัวหลวงจะนำเครื่องมือการลงทุน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้มากประสบการณ์มาให้คำปรึกษาการวางแผนการลงทุนทั้งหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวมแบบครบวงจร พร้อมโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีในงาน รับทันที Bualuang B-Pad และรับแต้มสะสมจากการลงทุน Bualuang iPoints เพิ่มพิเศษจำนวน 500 แต้ม เมื่อมีการซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปภายในระยะเวลา 3 เดือน เตรียมพบกับบริการทางการเงินที่หลากหลาย พร้อมด้วยสิทธิพิเศษ รวมทั้งของที่ระลึกที่มอบสำหรับลูกค้าได้ที่บูทหลักทรัพย์บัวหลวงทุกวัน


ที่มา  http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000059345

"โฆษิต"แนะจับตาผลกระทบเงินเฟ้อหลังขึ้นค่าแรง 300 บาท ในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้ เผยผลตอบแทนดอกเบี้ยแท้จริงในปัจจุบันติดลบ 0.3%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 15:16



"โฆษิต"แนะจับตาผลกระทบเงินเฟ้อหลังขึ้นค่าแรง 300 บาท ในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้ เผยผลตอบแทนดอกเบี้ยแท้จริงในปัจจุบันติดลบ 0.3%



นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะทรงตัวในระดับปัจจุบันที่ 3% ต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ หากเงินเฟ้อไม่ปรับตัวขึ้นรุนแรง ซึ่งในระดับปัจจุบันถือว่ายังยอมรับได้ แต่ยังคงมีแรงกดดันที่จะต้องติดตามแม้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ คงจะต้องรอดูผลต่อไปอีก 1-2 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากระทรวงการคลังสามารถดำเนินนโยบายและสร้างกลไกดูแลเงินเฟ้อได้
"เงินเฟ้อตอนนี้ยังสูงกว่าดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบอยู่ 0.3% แต่ก็ยังทรงๆอยู่ระดับนี้ แต่เป็นปัญหาที่ไม่จูงใจด้านการออม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาให้ความสำคัญกับผู้ออมด้วย"
สำหรับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นที่กระทบค่าครองชีพ โดยเฉพาะลูกค้ารายย่อย นายโฆสิต กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณจากทุกฝ่ายในการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แต่ถือเป็นปัจจัยที่จะต้องติดตาม
"แม้ว่าราคาสินค้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วทุกฝ่ายจะปรับตัวได้ ทั้งในแง่ประชาชนรายย่อย และผู้ประกอบการ เพราะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งตลาดจากต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงไม่ถือมีผู้ได้เปรียบเสียเปรียบ และมั่นใจว่าส่วนใหญ๋จะปรับตัวได้"


ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120509/450916/จับตาผลกระทบเงินเฟ้อหลังขึ้นค่าแรง300.html

ค่าเงินบาทปิดตลาดร่วงแตะ 30.98/31.02 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าตมยูโร คาดพรุ่งนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.90-31.10 บาท/ดอลลาร์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 19:20

ค่าเงินบาทปิดตลาดร่วงแตะ 30.98/31.02 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าตมยูโร คาดพรุ่งนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.90-31.10 บาท/ดอลลาร์



นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (8 พ.ค.) ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 30.98/31.02 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.95/31.00 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงจากช่วงเช้า สาเหตุจากนักลงทุนไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในยุโรป หลังจากที่มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งในกรีซและฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ไม่แน่ใจกับมาตรการรัดเข็มขัดในกลุ่มยูโรโซนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เงินยูโรจึงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงด้วย จึงเป็นเหตุให้ช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่า
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ (9 พ.ค.) ยังมีทิศทางอ่อนค่า คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 30.90-31.10 บาท/ดอลลาร์

ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120508/450772/ค่าเงินบาทร่วงแตะ31.02อ่อนค่าตามยูโร.html

บลจ.บัวหลวงโชว์ผลตอบแทนกองทุน "บัวหลวงโกลบอลเฮลท์แคร์" ย้อนหลัง 3 เดือนแรกกว่า 8.31%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 18:19

บลจ.บัวหลวงโชว์ผลตอบแทนกองทุน "บัวหลวงโกลบอลเฮลท์แคร์" ย้อนหลัง 3 เดือนแรกกว่า 8.31%



นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่ม Health Care จะเป็น "Super Sector" สำหรับทศวรรษนี้ เนื่องจากได้ประโยชน์จากสัดส่วนของกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงจะได้ประโยชน์จากช่วงอายุที่ยืนยาวขึ้น และจะได้ประโยชน์จากโรคร้ายและโรคแปลกใหม่ที่มีมากขึ้น กองทุนนี้จึงเหมาะสมสำหรับผู้แสวงหาผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ไม่ใช่กลุ่มที่คาดหวังผลตอบแทนสูงเพียงระยะสั้นๆ
การที่ประชากรสูงอายุมีอัตราส่วนเพิ่มมากขึ้นทุกที ทำให้ความต้องการรักษาสุขภาพสูงขึ้นตามไปด้วย บริการทางการแพทย์และสุขภาพจึงเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของประชาชนเป็นหนึ่งในประเด็น ซึ่งนักการเมืองและภาครัฐให้ความสำคัญมากที่สุด ดังที่ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากให้ความสนับสนุนทางนโยบายประกันสุขภาพอย่างมาก เพื่อให้ประชากรมีโอกาสเข้าถึงและใช้บริการทางสุขภาพขั้นพื้นฐานได้ ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ แผนการปฏิรูปแผนสุขภาพในสหรัฐ ซึ่งในปีพ.ศ. 2553 ประเทศสหรัฐอเมริกาออกแผนปฏิรูปสุขภาพระยะ 10 ปี มุ่งเน้นการครอบคลุมการรักษาสุขภาพและการแพทย์แก่ชาวอเมริกันอย่างทั่วถึง ซึ่งความท้าทายของแผนดังกล่าว คือ การควบคุมค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณให้กับประเภทของธุรกิจต่างๆ ภายใต้อุตสาหกรรม Health Care เช่น บริษัทยา ไบโอเทค และโรงพยาบาล เป็นต้น จากแผนดังกล่าว ในปีพ.ศ.2561 คนอเมริกันจะสามารถซื้อและใช้บริการทางสุขภาพได้อย่างทั่วถึง จากการเติบโตของอุตสาหกรรม Health Care ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นย่อมจะทำให้หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต
สำหรับในปีนี้ บลจ.บัวหลวง มองว่า ถึงแม้ความเสี่ยงของเศรษฐกิจของยุโรปยังคงอยู่ แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะส่งผลบวกอย่างมากต่อพอร์ตการลงทุน เพราะไม่ว่า Democrat หรือ Republican (หากตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็น Mitt Romney) จะชนะการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็สนับสนุนการปฏิรูปแผนสุขภาพด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งน่าจะยิ่งทำให้นโยบายประกันสุขภาพครอบคลุมจำนวนผู้มีประกันสุขภาพมากยิ่งขึ้น
"กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลท์แคร์" เน้นการลงทุนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (Feeder Fund) ในหน่วยของกองทุนรวม Wellington Management Portfolios (Dublin) Plc.Global Health Care Equity Portfolio ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีลักษณะเป็นประเภท Retail Fund ที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม Health Care ซึ่งบริหารและจัดการโดย Wellington International Management Company Pte Ltd
ท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดการลงทุนและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ สาขาธนาคารกรุงเทพ หรือ โทร.1333 หรือ บลจ.บัวหลวง จำกัด โทร. 0 2674 6488    กด 8






ที่มา  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120508/450660/บัวหลวงโกลบอลเฮลท์แคร์ย้อนหลัง3เดือน8.html