วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2555 17:58 น.


นครศรีธรรมราช - เครือข่ายมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน ฮือล้อมธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดหัวอิฐ จ.นครศรีธรรมราช เรียกร้องให้ขายคืนทรัพย์สินของสมาชิกที่ถูกบังคับคดีขายทอดตลาด

ที่บริเวณหน้าที่ทำการธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดหัวอิฐ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (22 พ.ค.) กลุ่มประชาชนประมาณ 50 คน นำโดย นางพัชรารัตน์ พูลชัย เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแห่งชาติ ได้เข้ายื่นหนังสือผ่านไปยัง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และทำการตั้งเต็นท์ปักหลักประท้วงหน้าธนาคาร ทำให้ถนนด้านหน้าเต็มไปด้วยเต็นท์การจราจรติดขัด เป็นอุปสรรคในการมาติดต่อธุรกรรมทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจในย่านนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก

โดยการยื่นหนังสือดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย นายนิยม ด้วงปรางค์ และนางพัชรารัตน์ พูลชัย ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแห่งชาติ เนื้อหาได้ระบุถึงสมาชิกเครือข่ายจำนวน 2 ราย คือนายนิยม ด้วงปรางค์ และนางสำลี ด้วงปรางค์ 2 สามีภรรยา อยู่ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ได้นำหลักฐานโฉนดที่ดินหมายเลข 40026 จำนวน 2 ไร่เศษ และอีกแปลงอยู่เยื้องกันจำนวน 18 ไร่เศษ เป็นการบังคับจำนองอยู่ที่ ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ไปจดจำนองกับธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และปรากฏว่า ท้ายที่สุดแล้วได้มีการฟ้องร้องบังคับคดี เนื่องจากผู้จำนองผิดสัญญาจนนำไปสู่การขายทอดตลาดทรัพย์สินทั้ง 2 แปลง

หนังสือร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ยังอ้างด้วยว่า หลังจากการบังคับคดี มีการขายทอดตลาด โดยที่ดินแปลงแรกได้มีภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวไทร เป็นผู้ซื้อ อีกแปลงเป็นตำรวจ ที่มีฐานะดีมาซื้อไป โดยหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ได้กล่าวหาว่า การขายทอดตลาดดังกล่าวขัดต่อหลักจริยธรรม ใช้บทบาทหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเอง และยังเรียกร้องไปธนาคารกรุงเทพสั่งการให้ ผู้จัดการธนาคาร และครอบครัวผู้ฉ้อฉล ให้ขายที่ดินที่มีการกลับคืนมาให้แก่นายนิยม และนางสำลี ในราคาที่ซื้อมาจากสำนักงานบังคับคดี รวมค่าใช้จ่าย

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารต่างงุนงงกับการมายื่นหนังสือ และปักหลักประท้วงหน้าธนาคาร เนื่องจากธนาคารสาขาตลาดหัวอิฐไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการจำนอง และยื่นฟ้อง หลังจากที่ผู้จำนองผิดนัดชำระหนี้จนนำไปสู่การฟ้องร้องบังคับคดี และยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญญาที่นายนิยม และนางสำลี ด้วงปรางค์ 2 สามีภรรยาได้มาจดจำนองไว้ ส่วนขั้นตอนนั้น ได้ผ่านกระบวนการศาล มาจนถึงการบังคับคดี และขายทอดตลาดจนมีผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งธนาคารได้ใช้เงินรายได้จากการขายทอดตลาดมาทดแทนมูลหนี้ที่ทั้งสองสามีภรรยาได้จดจำนองกู้เงินจากธนาคารไป และธนาคารเองไม่สามารถไปบังคับนิติกรรมของผู้ประมูลซื้อทรัพย์จากสำนักงานบังคับคดีได้ เนื่องจากทุกขั้นตอนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง


ที่มา  http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000062971

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น